วันพุธที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบอภิปราย

สุวิทย์ มูลคำและอรทัย มูลคำ (2551: 23-31) ได้กล่าวถึงวิธีการสอนแบบอภิปรายไว้ดังนี้
ความหมาย
      การจัดการเรียนรู้แบบอภิปราย คือกระบวนการที่มุ่งให้ผู้เรียนมีโอกาสสนทนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นหรือระดมความคิดในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ซึ่งอาจจะเป็นเรื่องหรือปัญหาที่เกี่ยวข้องกับบทเรียนหรือที่กลุ่มมีความสนใจร่วมกัน โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อหาคำตอบแนวทางหรือแก้ปัญหาร่วมกัน การจัดการเรียนรู้แบบนี้มุ่งเน้นให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียนรู้คือ ร่วมคิด ร่วมวางแผน ร่วมปฏิบัติงานและชื่นชมผลงานร่วมกัน
วัตถุประสงค์
      1. เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้แสดงความคิดเห็นหรือระดมความคิดเห็นร่วมกัน และมีส่วนร่วมในการเรียนรู้อย่างทั่วถึง
      2. เพื่อฝึกการทำงานร่วมกันเป็นกลุ่ม การนำเสนอผู้นำ ผู้ตาม การรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่นและการเป็นสมาชิกที่ดีของกลุ่ม
      3. เพื่อฝึกการค้นคว้าหาความรู้ ข้อมูล ข้อเท็จจริงมาเพื่ออภิปรายให้ผู้อื่นรับทราบ
ประเภทของการอภิปราย
การอภิปรายนั้นมีรูปแบบหรือประเภทการจัดการอภิปรายหลากหลายรูปแบบ อาทิ เช่น
     1. การอภิปรายเป็นคณะ (Panel Discussion)
                 เป็นการอภิปรายที่แยกคณะผู้อภิปรายจากผู้ฟัง โดยคณะผู้อภิปรายจะประกอบด้วยผู้ทรงคุณวุมิหรือผู้เชี่ยวชาญจากสาขาวิชาต่างๆในเรื่องที่จะอภิปรายประมาณ 3-6 คนมาร่วมกันแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและนำเสนอองค์ความรู้ต่างๆจากประสบการณ์หรือความเชี่ยวชาญในเรื่องหรือหัวข้อที่กำหนดต่อผู้ฟัง โดยมีดำเนินการอภิปราย (Moderator) จำนวน 1 คน ทำหน้าที่เชื่อมโดยงความคิดเห็น ซักถาม ควบคุมและสรุปผลการอภิปราย พร้อมทั้งเปิดโอกาสให้ผู้ฟังซักถามหรือแสดงความคิดเห็น วิธีการอภิปรายจะแบ่งเป็นรอบ ส่วนใหญ่ไม่เกิน 2 รอบโดยมักจะกำหนดเวลารอบแรกมากกว่ารอบที่สอง รอบแรกจะให้ผู้ทรงคุณวุฒิหรือผู้เชี่ยวชาญนำเสนอองค์ความรู้ในเวลาที่กำหนดให้ ส่วนรอบที่สองให้สรุปประเด็น หรือเติมเต็มความรู้จากรอบแรก หรือแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม จากนั้นจึงเปิดโอกาสให้ผู้ฟังซักถามและถ้าตรงกับเรื่องใดผู้เชี่ยวชาญท่านั้นจะเป็นผู้ตอบ
                 ลักษณะการจัดโต๊ะเก้าอี้ มักจัดเป็นแบบห้องเรียนหรือแบบโรงละคร ตัวอย่างหัวข้ออภิปราย เช่น
-          วิกฤติการณ์พลังงานและสิ่งแวดล้อมในประเทศไทย
-          ครูยุคใหม่กับ ICI
               2. การอภิปรายแบบฟอรั่ม (Forum Discussion)
                   ในภาษาไทยมีผู้บัญญัติศัพท์คำที่ใกล้เคียงกับความหมายของคำว่า “Forum” ว่าอาศรมการอภิปรายแบบนี้เป็นลักษณะการอภิปรายในเรื่องหรือหัวข้อที่ทุกคนสนใจร่วมกัน โดยเชิญผู้ทรงคุณวุฒิที่มีชื่อเสียงหรือเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องนั้นๆเป็นอย่างดีหรือบางทีเราเรียกว่าองค์ปาฐก (Keynote Speaker) มาแสดงปาฐกถานำ ต่อจากนั้นจึงมีการอภิปรายโดยผู้เชี่ยวชาญซึ่งอาจมากกว่า 1 คน หลังจากจบการปาฐกถาหรืออภิปรายแล้ว จะเปิดเวทีให้ผู้ฟังซักถามได้อย่างเต็มที่
                   ลักษณะการจัดโต๊ะเก้าอี้ มักจัดเป็นแบบตัวยู (U-shape) แบบตัวโอ (O-shape) แบบครึ่งวงกลม (Semicircle) หรือแบบโต๊ะกลม (Round Table) ตัวอย่างหัวข้ออภิปรายเช่น
-          30 บาทรักษาได้ทุกโรคจริงหรือ
-          อาศรมทางปัญญาว่าด้วยการพัฒนาสมองสองซีก
               3. การอภิปรายแบบสัมมนา (Seminar Discussion)
                   เป็นการอภิปรายที่มีสมาชิกกลุ่มจำนวนมากกว่า 20 คนขึ้นไปในหัวข้อกำหนดไว้ ส่วนใหญ่เป็นหัวข้อหรือเรื่องที่ต้องการให้สมาชิกศึกษาค้นคว้าเรื่องใดเรื่องหนึ่ง หรือประเด็นที่เป็นปัญหาของคนส่วนใหญ่ที่ต้องการความคิดเห็นและข้อเสนอแนะในการตัดสินใจ โดยเปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมสัมมนา (Participant) ได้ร่วมอภิปรายกันอย่างอิสระ ซึ่งผู้เข้าร่วมสัมมนามักจะเป็นผู้ที่มีความสนใจหรือมีประสบการณ์ในเรื่อง/หัวข้อที่สัมมนา หัวข้อสัมมนามักจะเปิดกว้างเพื่อแบ่งเป็นหัวข้อย่อยได้จำนวนมาก ผู้ทรงคุณวุฒิหรือเชี่ยวชาญมาให้ความรู้ หรือคำแนะนำในเบื้องต้น หลังจากนั้นจะแบ่งเป็นกลุ่มสนใจตามหัวข้อย่อยของเรื่องที่กำหนด ผู้เข้าสัมมนาจะเป็นทั้งผู้ให้และผู้รับความรู้ความคิดเห็นในเวลาเดียวกัน การสัมมนาไม่มีการลงมติ เป็นเพียงการประมวลผลความคิดเห็นเพื่อตอบประเด็นหรือกระทู้ที่ตั้งไว้ และสรุปเป็นข้อเสนอแนะไว้ หลังจากนั้น ผู้แทนกลุ่มย่อยทุกกลุ่มออกไปนำเสนอความคิดเห็นต่อกลุ่มใหญ่เพื่อสรุปรวมความคิดเห็นของสัมมนาสมาชิก
                   ลักษณะการจัดโต๊ะเก้าอี้ ในช่วงแรกมักจัดเป็นแบบห้องเรียนหรือแบบโรงเรียนละคร ส่วนในช่วงหลังมักจัดเป็นกลุ่มย่อยแบบโต๊ะกลม (Round Table) แบบตัวยู (U-shape) หรือแบบตัวโอ (O-shape) ตัวอย่างหัวข้อสัมมนา เช่น
-          แนวทางปฏิรูปการจัดการเรียนรู้
-          การแก้ปัญหายาเสพติดในโรงเรียน
-          การกระจายอำนาจทางการศึกษา
               4. การอภิปรายแบบซิมโพเซี่ยม (Symposium Discussion)
                   เป็นการอภิปรายแลกเปลี่ยนความรู้ระหว่างผู้อภิปรายหลายคน ซึ่งผู้ร่วมอภิปรายแต่ละคนจะนำเสนอผลงานหรือข้อค้นพบที่ได้ศึกษาค้นคว้าในเรื่องที่กำหนดไว้ล่วงหน้ามาอภิปราย ผู้ดำเนินการอภิปราย (Moderator) จะเป็นผู้เชื่อมโยงเรื่องที่ผู้อภิปรายแต่ละคนนำเสนอให้ผุ้ฟังเข้าใจในประเด็นสำคัญต่างๆมากยิ่งขึ้น และผู้ฟังเลือกซักถามข้อข้องใจต่างๆกับผู้อภิปรายผ่าน ผู้ดำเนินการอภิปราย ซึ่งจะเป็นผู้ดำเนินการให้ผู้อภิปรายที่เกี่ยวข้องแต่ละท่านเป็นผู้ตอบคำถาม โดยอาจสรุปให้กระชับตรงประเด็นในกรณีที่คำถามหรือคำตอบไม่ชัดเจน
                   ลักษณะการจัดโต๊ะเก้าอี้เป็นแบบห้องเรียนหรือโรงละคร โดยแบ่งเป็นห้องประชุมย่อยตามหัวเรื่องหรือประเภทของผลงาน ตัวอย่างหัวข้อการอภิปราย เช่น
-          การนำเสนอผลงานวิจัยในชั้นเรียนของครูต้นแบบ
-          การจัดการเรียนรู้ตามแนวทางปฏิรูปการศึกษา
-          นวัตกรรมการสอนด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
               5. การอภิปรายแบบซินดิเคต (Syndicate Discussion)
                   เป็นการอภิปรายแบบกลุ่มย่อย แต่ละกลุ่มจะประกอบด้วยสมาชิกประมาณ 6-10 คนที่มีความรู้และประสบการณ์ต่างกัน จุดประสงค์ของการอภิปรายแบบนี้เพื่อให้กลุ่มย่อยได้ศึกษาหรือพิจารณาเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่ได้รับมอบหมายจากที่ประชุมใหญ่ สมาชิกจะแลกเปลี่ยนความรู่และประสบการณ์กันในเรื่องที่ได้รับมอบหมาย โดยผลัดกันทำหน้าที่ประธานและเลขานุการกลุ่ม
                   ลักษณะการจัดโต๊ะเก้าอี้มักเป็นแบบโต๊ะกลม (Round Table) แบบครึ่งวงกลม (Semicircle) แบบตัวยู (U-shape) หรือแบบตัวโอ (O-shape) ตัวอย่างหัวข้อการอภิปราย เช่น
-          การลดปริมาณขยะในโรงเรียน
-          การใช้สมุนไพรไทยในชีวิตประจำวัน
               6. การอภิปรายแบบระดมสมอง (Brainstorming Discussion)
                   เป็นการอภิปรายแบบแบ่งกลุ่มย่อย แต่ละกลุ่มประกอบด้วยสมาชิกประมาณ 2-6 คนที่มีความรู้และประสบการณ์ในเรื่องที่จะอภิปราย จุดประสงค์ของการอภิปรายแบบระดมสมองเพื่อแสวงหาความคิดสร้างสรรค์จากสมาชิกทุกคนให้ได้มากที่สุดในระยะเวลาที่จำกัด แต่ละกลุ่มจะแต่งตั้งประธานนำการอภิปราย กระตุ้นให้ทุกคนแสดงความคิดเห็นอย่างเสรีโดยไม่มีการตัดสิน ผิด ถูก ดี ไม่ดี เพื่อรวบรวมความคิดเห็นให้ได้มากที่สุด ส่วนเลขานุการกลุ่มจะทำหน้าที่บันทึกความคิดเห็นของกลุ่ม ขั้นต่อไปจึงนำความคิดที่รวบรวมได้มาวิเคราะห์จัดรวมเข้าเป็นกลุ่มเสร็จแล้วช่วยกันตัดเติมเสริมแต่งให้ได้ความคิดที่สมบูรณ์ที่สุด หลังจากนั้นจึงนำเสนอกลุ่มใหญ่ตามเวลาที่กำหนด
                    ลักษณะการจัดโต๊ะเก้าอี้มักเป็นแบบโต๊ะกลม (Round Table) แบบครึ่งวงกลม (Semicircle) แบบตัวยู (U-shape)  แบบตัวไอ (I-shape) หรือแบบตัวโอ (O-shape) ตัวอย่างหัวข้อการอภิปราย เช่น
-          ยุทธศาสตร์การยุบรวมเลิกล้มโรงเรียนขนาดเล็ก
-          การพัฒนาคุณภาพโรงเรียนทั้งระบบ
               7. การอภิปรายแบบโต๊ะกลม (Round Table Discussion)
                   การอภิปรายแบบนี้คล้ายคลึงกับการอภิปรายแบบซินดิเคต คือเป็นการอภิปรายในประเด็นที่ได้รับมอบหมายจากที่ประชุมใหญ่หรือตามที่สมาชิกเลือกตามกลุ่มสนใจ เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ ความคิดเห็นและประสบการณ์เพื่อให้ได้ข้อสรุปร่วมกัน โดยมีลักษณะเด่น คือ เน้นการอภิปรายในกลุ่มย่อยซึ่งทุกคนสามารถมองเห็นกันได้หมดและมีสิทธิ์แสดงความคิดเห็นได้เท่าเทียมกันไม่จำกัดจำนวนครั้ง ดังนั้น การเลือกประธานในแต่ละกลุ่มจึงเป็นสิ่งสำคัญในการหาข้อสรุปความคิดเห็นของกลุ่ม ประนีประนอมเมื่อเกิดข้อโต้แย้งกันเอง กระจายโอกาสให้ทุกคนได้แสดงความคิดเห็นโดยปราศจากอคติ ซึ่งในแต่ละกลุ่มอาจอภิปรายในประเด็นเดียวกันหรือเป็นประเด็นย่อยภายใต้เรื่องเดียวกันก็ได้
                   ลักษณะการจัดโต๊ะเก้าอี้เป็นมักเป็นแบบโต๊ะกลม (Round Table) หรือแบบตัวโอ (O-shape)
               8. การอภิปรายแบบเวียนรอบวง (Circular Response Discussion)
                   เป็นการอภิปรายในหัวข้อที่ได้รับมอบหมายหรือตามกลุ่มสนใจโดยมีกฎเกณฑ์กติกาชัดเจน เช่น ให้อภิปรายหมุนเวียนกันเป็นรอบๆจนครบทุกคน แต่ละคนมีสิทธิ์แสดงความคิดเห็นได้รอบละประมาณ 1-2 นาที ถ้าต้องการสนับสนุนหรือมีข้อโต้แย้งต้องรอจนกว่าจะถึงรอบของตน ถ้ามีเวลามากพออาจใช้จำนวนรอบมากขึ้นได้ สมาชิกในแต่ละกลุ่มไม่ควรเกิน 10 คน เป็นต้น
                             ลักษณะการจัดโต๊ะเก้าอี้เป็นมักเป็นแบบโต๊ะกลม (Round Table) หรือแบบตัวโอ (O-shape)
               9. การอภิปรายแบบปุจฉาวิสัชนา (Questioning-Answering Discussion)
                  เ ป็นการอภิปรายที่มีจุดประสงค์ให้สมาชิกผู้รับฟังการอภิปรายเกิดความรู้ ความเข้าใจในปัญหาหรือเรื่องที่ต้องการศึกษาในแง่มุมต่างๆอย่างละเอียดตามความต้องการและความสนใจของผู้ฟัง คณะผู้อภิปรายประกอบด้วยสมาชิกประมาณ 6-8 คน โดยมีผู้ดำเนินการอภิปราย (Moderator) จำนวน 1 คนครึ่งนึ่งของคณะผู้อภิปรายจะเป็นผู้เชี่ยวชาญหรือวิทยากรผู้มีประสบการณ์สูงในเรื่องที่จะอภิปราย ส่วนอีกครึ่งหนึ่งเป็นตัวแทนจากกลุ่มผู้ฟังทำหน้าที่เสนอข้อคำถามให้ผู้เชี่ยวชาญหรือวิทยากรตอบ สำหรับผู้ดำเนินการอภิปรายทำหน้าที่เชื่อมโยงความคิดเห็น ซักถาม ควบคุมเวลาและสรุปผลการอภิปราย
                   ลักษณะการจัดโต๊ะเก่าอี้มักเป็นแบบห้องเรียนหรือโรงละคร ตัวอย่างหัวข้ออภิปรายแบบปุจฉา-วิสชนา เช่น
-          มองเด็กไทยในยุคโลกาภิวัตน์
-          บทบาท อบต.กับการพัฒนาท้องถิ่น
               10. การอภิปรายแบบโต้วาที (Debate Discussion)
          เป็นการอภิปรายที่แบ่งผู้อภิปรายออกเป็น 2 ทีม ของประเด็นปัญหาที่มีน้ำหนักความน่าเชื่อถือในสัดส่วนที่ใกล้เคียงกัน ฝ่ายหนึ่งเป็นฝ่ายสนับสนุน อีกฝ่ายหนึ่งเป็นฝ่ายค้านโดยมีหัวหน้าทีมอยู่ทั้งสองฝ่าย ทีมหนึ่งประมาณ 3-5 คน ในการอภิปรายจะมีผู้ดำเนินรายการอยู่ 1 คน แต่ละฝ่ายจะอภิปรายแสดงเหตุผลอ้างอิงข้อมูลต่างๆในการหักล้างข้อมูลของอีกฝ่าย รวมทั้งสร้างความน่าเชื่อถือทางความคิดและความเชื่อของฝ่ายตนเพื่อให้ผู้ฟังคล้อยตามให้มากที่สุดในเงื่อนเวลาที่เท่ากัน การอภิปรายแบบนี้ส่วนใหญ่แบ่งเป็นสองรอบ แต่ถ้าผู้ร่วมอภิปรายมีจำนวนมากอาจเหลือเพียงรอบเดียวโดยให้หัวหน้าทีมแต่ละฝ่ายเป็นผู้สรุป ส่วนใหญ่ผู้ฟังจะสนุกสนานในการฟังคารมของผู้พูดซึ่งต้องมีปฏิภาณไหวพริบและวิธีการีพูดที่เร้าใจ เมื่อสิ้นสุดการอภิปรายผู้ตัดสินว่าเห็นด้วยกับฝ่ายใดมากที่สุดคือผู้ฟัง
          การอภิปรายแบบนี้มีรูปแบบที่คล้ายคลึงกัน อีกแบบหนึ่งเรียกว่า การอภิปรายแบบยอวาที จะต่างกันตรงที่ผู้ร่วมอภิปรายทั้งสองฝ่ายมีความคิดเห็นตรงกันในหัวข้อที่อภิปรายต่างฝ่ายต่างหาเหตุผลมาสนับสนุนซึ่งกันและกัน
          ลักษณะการจัดโต๊ะเก้าอี้มักเป็นแบบห้องเรียน หรือโรงละคร ตัวอย่างหัวข้ออภิปรายแบบโต้วาที เช่น
-          ซื้อของในห้างดัง ดีกว่าจ่ายสตางค์ในตลาด
-          สมองคนดีกว่าสมองกล
-          อยู่ผืนแผ่นดินไทย สุขใจกว่าต่างแดน
         ขั้นตอนการจัดการเรียนรู้
             ขั้นตอนการจัดการเรียนรู้แบบอภิปราย มีดังนี้
             1. ขั้นเตรียมการอภิปราย ผู้สอนจะต้องเตรียมการในสิ่งต่อไปนี้
-          กำหนดหัวข้อ วัตถุประสงค์ รูปแบบการอภิปราย
-          ผู้สอนควรกำหนดบทบาทให้ผู้เรียน และให้เวลาผู้เรียนเตรีนมการอภิปรายหลังจากทราบหัวข้อ โดยการหาข้อมูลหรือรายละเอียดเพื่อเข้าร่วมอภิปราย
-          สื่อการเรียน อาจจะเป็นเอกสารหรือวัสดุอุปกรณ์ต่างๆที่จำเป็น เช่น แผนภูมิเครื่องฉายภาพข้ามศีรษะ แผ่นใส เป็นต้น
-          สถานที่ อาจจะเป็นห้องเรียนซึ่งผู้สอนควรจัดโต๊ะเก้าอี้ให้เหมาะสมกับรูปแบบการอภิปราย เช่น จัดแบบวงกลม ครึ่งวงกลม รูปตัวยู รูปตัวโอ รูปตัวที
             2. ขั้นดำเนินการอภิปราย ผู้สอนมีบทบาทสำคัญโดยเป็นผู้ควบคุมให้การอภิปรายดำเนินไปด้วยดี ดังนั้นผู้สอนควรดำเนินการดังนี้
-            บอกหัวข้อหรือปัญหาและวัตถุประสงค์ของการอภิปราย
-            บอกเงื่อนไขหลักเกณฑ์การอภิปราย เช่น รูปแบบวิธีการอภิปราย ระยะเวลาที่ใช้ บทบาทหน้าที่ของผู้อภิปราย ผู้ดำเนินการอภิปราย การรับฟังผู้อื่นและการเคารพมติส่วนรวม เป็นต้น
-            ดำเนินการอภิปราย โดยมีผู้ดำเนินการอภิปรายจะต้องใช้ความสามารถควบคุมให้การอภิปรายดำเนินไปด้วยความเรียบร้อย ขณะที่ผู้เรียนเข้ากลุ่มอภิปราย ผู้สอนไม่ควรเข้าไปกำกับหรือแทรกแซงผู้เรียนตลอดเวลา แต่ควรคอยดูแลกระตุ้นให้เกิดกำลังใจ ให้คำแนะนำเมื่อผู้เรียนต้องการเท่านั้น
             3. ขั้นสรุป ประกอบด้วย
-            สรุปผลการอภิปราย ผู้แทนกลุ่มสรุปผลการอภิปรายแล้วนำเสนอผลการอภิปรายต่อที่ประชุม เป็นการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเปิดโอกาสให้ผู้ฟังซักถาม ผู้อภิปรายตอบคำถาม ผู้สอนคอยช่วยเหลือเพิ่มเติมในสระสำคัญได้
             4. ขั้นสรุปบทเรียน ผู้สอนและผู้เรียนร่วมกันสรุปสาระสำคัญและแนวคิดที่ได้จากการอภิปราย
             5. ขั้นประเมินผลการเรียน ผู้สอนและผู้เรียนร่วมกันนำเสนอข้อมูลไปใช้ในการปรับปรุงการเรียนรู้ต่อไป
         ข้อดีและข้อจำกัด
             การจัดการเรียนรู้แบบอภิปรายมีข้อดีและข้อจำกัด ดังนี้
             ข้อดี
             1. ส่งเสริมให้ผู้เรียนรู้จักคิด วิเคราะห์ วิจารณ์ ส่งเสริมความคิดริเริ่มสร้างสรรค์และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับผู้อื่น
             2. ส่งเสริมให้ผู้เรียนศึกษาค้นคว้าหาข้อมูลจากแหล่งความรู้ต่างๆ
             3. ส่งเสริมให้ผู้เรียนกล้าคิด กล้าพูด กล้าตัดสินใจและกล้าแสดงออก
             4. ฝึกความเป็นประชาธิปไตย เคารพสิทธิและยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น
             5. ช่วยให้ผู้สอนรู้จักผู้เรียนเป็นรายบุคคลมากขึ้น
             ข้อจำกัด
             1. ใช้เวลามากพอสมควร ถ้าให้โอกาสผู้เรียนแสดงความคิดเห็นอย่างทั่วถึง
             2. ผู้เรียนบางส่วนอาจไม่กล้าแสดงความคิดเห็นจะทำให้ไม่เกิดการเรียนรู้เท่าที่ควร
             3. ผู้เรียนบางคนอาจผูกขาดการอภิปราย ทำให้ผู้อื่นไม่ได้แสดงความคิดเห็น
             4. ผู้สอนอาจเกินความขับข้องใจ ถ้าการอภิปรายครั้งนั้นไม่สามารถสรุปผลในรูปที่ผู้สอนปรารถนาได้

คณะกรรมการจัดทำต้นฉบับ คู่มือการจัดระบบการเรียนการสอนที่ยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ (http://info.vru.ac.th/documents/50/1406779749.6.1) ได้กล่าวถึงวิธีการสอนแบบอธิปรายไว้ดังนี้
ความหมาย
การจัดการเรียนรู้แบบอธิปราย เป็นการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกันเพื่อช่วยแก้ไขปัญหาอย่างใดอย่างหนึ่งระหว่างผู้สอนกับผู้เรียน หรือระหว่างผู้เรียนด้วยกัน โดยมีผู้สอนเป็นผู้ประสานงาน แทนที่ผู้สอนจะเป็นฝ่ายตั้งปัญหาคอยถามผู้เรียน ผู้สอนต้องเปิดโอกาสให้ผู้เรียนซักถามบ้างและให้ผู้เรียนมีส่วนช่วยตอบด้วย
ความมุ่งหมาย
วิธีสอนแบบอภิปรายมีความมุ่งหมาย เพื่อส่งเสริมการทำงานร่วมกันแบบประชาธิปไตยและเพื่อฝึกให้ผู้เรียนแลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกัน
ขั้นตอนในการจัดการเรียนรู้
วิธีสอนแบบอภิปรายจะแบ่งการดำเนินการอภิปรายเป็น 2 ขั้นตอน ขั้นนำเข้าสู่หัวข้อการอภิปรายและขั้นอภิปรายถกเถียง
การอภิปรายแบ่งออกเป็น 2 ฝ่าย คือ ฝ่ายทำการอภิปรายซึ่งนั่นอยู่บนเวทีหรือหน้าชั้นเรียน กับฝ่ายผู้ฟัง ในกลุ่มผู้ทำการอภิปรายจะประกอบด้วยประธาน 1 คน ทำหน้าที่เป็นผู้นำการอภิปราย เป็นผู้เสนอปัญหา มอบให้ผู้ใดผู้หนึ่งเป็นผู้ตอบสรุปประเด็นสำคัญนำการอภิปรายไม่ให้ออกนอกทาง โน้มน้าวตัดบทสมาชิกที่ถกเถียงกัน รับฟังความคิดเห็นจากกลุ่มผู้ฟังและสรุปผลการอภิปราย นอกจากนี้ยังมีอภิปรายอีกจำนวนหนึ่ง
การนำเข้าสู่หัวข้อการอภิปราย ประธานจะต้องกล่าวแนะนำหัวข้อที่จะอภิปรายจากนั้นแนะนำสมาชิกผู้ทำการอภิปรายแต่ละคน แล้วจึงดำเนินขั้นต่อไป
การอภิปรายถกเถียง ประธานเริ่มใช้คำถาม ถามให้เกิดปัญหาแล้วให้สมาชิกออกความคิดเห็น ประธานต้องคุมการอภิปรายให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์และสรุปผลการอภิปราย
ข้อดี
1.       ส่งเสริมให้ผู้เรียนทุกคนมีโอกาสแสดงความคิดเห็น
2.       พัฒนาสติปัญญาของผู้เรียนด้านความคิด
3.       ส่งเสริมการค้นคว้าหาความรู้ของผู้เรียนเพื่อนำมาใช้ในการอภิปราย
4.       ส่งเสริมการเคารพในเหตุผลของผู้อื่น
ข้อจำกัด
1.       ในบางหัวข้อสิ้นเปลืองเวลาในการอภิปรายมาก หากประธานไม่สามารถคุมสถานการณ์ให้ดีได้
2.       หากการตั้งหัวข้อไม่ดีจะทำให้การอภิปรายไม่สัมฤทธิ์ผล
         
อรุณกมล  อินทร์จันทร์(http://innovation.kpru.ac.th/web17/551121707/innovation/index.php/2014-02-04-10-18-22 )  ได้กล่าวถึงวิธีการสอนแบบอภิปรายไว้ดังนี้
ความหมายการสอนแบบบรรยาย
คือกระบวนการที่ผู้สอนมุ่งให้ผู้เรียนมีโอกาสสนทนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นหรือระดมความคิดในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ซึ่งอาจจะเป็นเรื่องหรือปัญหาที่เกี่ยวข้องกับบทเรียนหรือกลุ่มที่มีความสนใจร่วมกัน โดยมีจุดประสงค์เพื่อหาคำตอบแนวทางหรือแก้ปัญหาร่วมกัน
วัตถุประสงค์
1. เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้แสดงความคิดเห็นหรือระดมความคิดเห็นร่วมกัน และมีส่วนร่วมในการเรียนรู้อย่างทั่วถึง
2. เพื่อฝึกการทำงานเป็นกลุ่ม การเป็นผู้นำ ผู้ตาม การรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่นและการเป็นสมาชิกที่ดีของกลุ่ม
3. เพื่อฝึกการค้นคว้าหาความรู้ ข้อมูล ข้อเท็จจริงมาเพื่ออภิปรายให้ผู้อื่นรับทราบ
องค์ประกอบ
1. เรื่องหัวข้อประเด็นปัญหาที่จะอภิปราย
2. ผู้อภิปรายและผู้ร่วมอภิปราย
3. กระบวนการอภิปราย
4. ผลการเรียนรู้ของผู้เรียนหลังการอภิปราย
ประเภทของการอภิปราย
การอภิปรายมีรูปแบบหรือประเภทการจัดการอภิปรายหลากหลายรูปแบบ อาทิเช่น
·   การอภิปรายเป็นคณะ
·   การอภิปรายแบบฟอรั่ม
·   การอภิปรายแบบสัมมนา
·   การอภิปรายแบบระดมสมอง
·   การอภิปรายแบบโต๊ะกลม
·   การอภิปรายแบบโต้วาที
ขั้นตอนการเรียนรู้
1. ขั้นตอนการอภิปราย
·   กำหนดหัวข้อ วัตถุประสงค์ รูปแบบอภิปราย
·   ผู้สอนควรกำหนดบทบาทให้ผู้เรียน
·   สื่อการเรียน อาจจะเป็นเอกสารหรือวัสดุต่างๆที่จำเป็น
·   สถานที่ อาจจะเป็นห้องเรียนซึ่งผู้สอนควรจัดโต๊ะเก้าอี้ให้เหมาะสมกับรูปแบบการอภิปราย
2. ขั้นบรรยาย
·   บอกหัวข้อหรือปัญหาและวัตถุประสงค์
·   บอกเงื่อนไขหลักเกณฑ์
·   ดำเนินการอภิปราย
3. ขั้นสรุป
·   สรุปผลการอภิปราย ผู้แทนกลุ่มสรุปผลการอภิปรายแล้วนำเสนอผลการอภิปรายต่อที่ประชุม
4. ขั้นสรุปบทเรียน
·   ผู้สอนและผู้รีเยนร่วมกันสรุปสาระสำคัญและแนวคิดที่ได้จาการอภิปราย
5. ขั้นประเมินผลการเรียน
·   ผู้สอนและผู้เรียนร่วมกันนำข้อมูลไปใช้ในการปรับปรุงการเรียนรู้
ข้อดี
1. ส่งเสริมให้ผู้เรียนรู้จักคิด วิเคราะห์ วิจารณ์ ส่งเสริมความคิดริเริ่มสร้างสรรค์
2. ส่งเสริมให้ผู้เรียนศึกษาค้นคว้าข้อมูลจากแหล่งความรู้ต่างๆ
3. ผู้เรียนไม่เบื่อ เพราะมีการปฏิบัติตลอดเวลาเรียน
ข้อจำกัด
1. ใช้เวลามากพอสมควร ถ้าให้โอกาสผู้เรียนแสดงความคิดเห็นอย่างทั่วถึง
2. ผู้เรียนบางส่วนอาจไม่กล้าแสดงความคิดเห็น
3. ผู้สอนอาจเกิดความขับข้องใจ ถ้าการอภิปรายครั้งนั้นไม่สามารถสรุปผลในรูปที่ผู้สอนปรารถนา
         
สรุปวิธีการสอนแบบอภิปราย
          ความหมายของการอภิปราย
          การจัดการเรียนรู้แบบอธิปราย เป็นการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกันเพื่อช่วยแก้ไขปัญหาอย่างใดอย่างหนึ่งระหว่างผู้สอนกับผู้เรียน หรือระหว่างผู้เรียนด้วยกัน โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อหาคำตอบแนวทางหรือแก้ปัญหาร่วมกัน
         วัตถุประสงค์
      1. เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้แสดงความคิดเห็นหรือระดมความคิดเห็นร่วมกัน และมีส่วนร่วมในการเรียนรู้อย่างทั่วถึง
      2. เพื่อฝึกการทำงานร่วมกันเป็นกลุ่ม การนำเสนอผู้นำ ผู้ตาม การรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่นและการเป็นสมาชิกที่ดีของกลุ่ม
      3. เพื่อฝึกการค้นคว้าหาความรู้ ข้อมูล ข้อเท็จจริงมาเพื่ออภิปรายให้ผู้อื่นรับทราบ
ประเภทของการอภิปราย
การอภิปรายนั้นมีรูปแบบหรือประเภทการจัดการอภิปรายหลากหลายรูปแบบ อาทิ เช่น
1. การอภิปรายเป็นคณะ (Panel Discussion) เป็นการอภิปรายที่แยกคณะผู้อภิปรายจากผู้ฟัง ซึ่งวิธีการอภิปรายจะแบ่งเป็นรอบ ส่วนใหญ่ไม่เกิน 2 รอบ คือ รอบแรกจะให้ผู้ทรงคุณวุฒิหรือผู้เชี่ยวชาญนำเสนอองค์ความรู้ในเวลาที่กำหนดให้ ส่วนรอบที่สองให้สรุปประเด็น หรือเติมเต็มความรู้จากรอบแรก หรือแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม จากนั้นจึงเปิดโอกาสให้ผู้ฟังซักถามและถ้าตรงกับเรื่องใดผู้เชี่ยวชาญท่านั้นจะเป็นผู้ตอบ
2. การอภิปรายแบบฟอรั่ม (Forum Discussion)  เป็นการอภิปรายในเรื่องหรือหัวข้อที่ทุกคนสนใจร่วมกัน โดยเชิญผู้ทรงคุณวุฒิที่มีชื่อเสียงหรือเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องนั้นๆเป็นอย่างดีหรือบางทีเราเรียกว่าองค์ปาฐกมาแสดงปาฐกถานำ ต่อจากนั้นจึงมีการอภิปรายโดยผู้เชี่ยวชาญซึ่งอาจมากกว่า 1 คน หลังจากจบการปาฐกถาหรืออภิปรายแล้ว จะเปิดเวทีให้ผู้ฟังซักถามได้อย่างเต็มที่
3. การอภิปรายแบบสัมมนา (Seminar Discussion) เป็นการอภิปรายที่มีสมาชิกกลุ่มจำนวนมากกว่า 20 คนขึ้นไปในหัวข้อกำหนดไว้ ส่วนใหญ่เป็นหัวข้อหรือเรื่องที่ต้องการให้สมาชิกศึกษาค้นคว้าเรื่องใดเรื่องหนึ่ง
4. การอภิปรายแบบซิมโพเซี่ยม (Symposium Discussion) เป็นการอภิปรายแลกเปลี่ยนความรู้ระหว่างผู้อภิปรายหลายคน ซึ่งผู้ร่วมอภิปรายแต่ละคนจะนำเสนอผลงานหรือข้อค้นพบที่ได้ศึกษาค้นคว้าในเรื่องที่กำหนดไว้ล่วงหน้ามาอภิปรายกัน
5. การอภิปรายแบบซินดิเคต (Syndicate Discussion) เป็นการอภิปรายแบบกลุ่มย่อย แต่ละกลุ่มจะประกอบด้วยสมาชิกประมาณ 6-10 คนที่มีความรู้และประสบการณ์ต่างกัน ซึ่งสมาชิกจะแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์กันในเรื่องที่ได้รับมอบหมาย โดยผลัดกันทำหน้าที่ประธานและเลขานุการกลุ่ม
6. การอภิปรายแบบระดมสมอง (Brainstorming Discussion)  เป็นการอภิปรายแบบแบ่งกลุ่มย่อย แต่ละกลุ่มประกอบด้วยสมาชิกประมาณ 2-6 คนที่มีความรู้และประสบการณ์ในเรื่องที่จะอภิปราย
7. การอภิปรายแบบโต๊ะกลม (Round Table Discussion) การอภิปรายแบบนี้คล้ายคลึงกับการอภิปรายแบบซินดิเคต คือเป็นการอภิปรายในประเด็นที่ได้รับมอบหมายจากที่ประชุมใหญ่หรือตามที่สมาชิกเลือกตามกลุ่มสนใจ เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ ความคิดเห็นและประสบการณ์เพื่อให้ได้ข้อสรุปร่วมกัน
8. การอภิปรายแบบเวียนรอบวง (Circular Response Discussion) เป็นการอภิปรายในหัวข้อที่ได้รับมอบหมายหรือตามกลุ่มสนใจโดยมีกฎเกณฑ์กติกาชัดเจน
9. การอภิปรายแบบปุจฉาวิสัชนา (Questioning-Answering Discussion) เป็นการอภิปรายที่มีจุดประสงค์ให้สมาชิกผู้รับฟังการอภิปรายเกิดความรู้ ความเข้าใจในปัญหาหรือเรื่องที่ต้องการศึกษาในแง่มุมต่างๆอย่างละเอียดตามความต้องการและความสนใจของผู้ฟัง คณะผู้อภิปรายประกอบด้วยสมาชิกประมาณ 6-8 คน และผู้ดำเนินการอภิปรายจำนวน 1 คน

10. การอภิปรายแบบโต้วาที (Debate Discussion) เป็นการอภิปรายที่แบ่งผู้อภิปรายออกเป็น 2 ทีม ของประเด็นปัญหาที่มีน้ำหนักความน่าเชื่อถือในสัดส่วนที่ใกล้เคียงกัน ฝ่ายหนึ่งเป็นฝ่ายสนับสนุน อีกฝ่ายหนึ่งเป็นฝ่ายค้านโดยมีหัวหน้าทีมอยู่ทั้งสองฝ่าย ทีมหนึ่งประมาณ 3-5 คน และมีผู้ดำเนินรายการอยู่ 1 คนโดยแต่ละฝ่ายจะอภิปรายแสดงเหตุผลอ้างอิงข้อมูลต่างๆในการหักล้างข้อมูลของอีกฝ่าย
ขั้นตอนการเรียนรู้
1. ขั้นตอนการอภิปราย
·   กำหนดหัวข้อ วัตถุประสงค์ รูปแบบอภิปราย
·   ผู้เรียน
·   สื่อการเรียน
·   สถานที่
2. ขั้นบรรยาย
·   บอกหัวข้อหรือปัญหาและวัตถุประสงค์
·   บอกเงื่อนไขหลักเกณฑ์
·   ดำเนินการอภิปราย
3. ขั้นสรุป
4. ขั้นสรุปบทเรียน
5. ขั้นประเมินผลการเรียน
         ข้อดีและข้อจำกัด
             การจัดการเรียนรู้แบบอภิปรายมีข้อดีและข้อจำกัด ดังนี้
             ข้อดี
             1. ส่งเสริมให้ผู้เรียนรู้จักคิด วิเคราะห์ วิจารณ์ ส่งเสริมความคิดริเริ่มสร้างสรรค์และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับผู้อื่น
             2. ส่งเสริมให้ผู้เรียนศึกษาค้นคว้าหาข้อมูลจากแหล่งความรู้ต่างๆ
             3. ส่งเสริมให้ผู้เรียนกล้าคิด กล้าพูด กล้าตัดสินใจและกล้าแสดงออก
             4. ฝึกความเป็นประชาธิปไตย เคารพสิทธิและยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น
             5. ช่วยให้ผู้สอนรู้จักผู้เรียนเป็นรายบุคคลมากขึ้น
             6. ผู้เรียนไม่เบื่อ เพราะมีการปฏิบัติกิจกรรมตลอดเวลาเรียน
             ข้อจำกัด
             1. ใช้เวลามากพอสมควร ถ้าให้โอกาสผู้เรียนแสดงความคิดเห็นอย่างทั่วถึง
             2. ผู้เรียนบางส่วนอาจไม่กล้าแสดงความคิดเห็นจะทำให้ไม่เกิดการเรียนรู้เท่าที่ควร
             3. ผู้เรียนบางคนอาจผูกขาดการอภิปราย ทำให้ผู้อื่นไม่ได้แสดงความคิดเห็น
             4. ผู้สอนอาจเกินความขับข้องใจ ถ้าการอภิปรายครั้งนั้นไม่สามารถสรุปผลในรูปที่ผู้สอนปรารถนาได้

ที่มา
          สุวิทย์ มูลคำและอรทัย มูลคำ. (2551). วิธีการจัดการเรียนรู้ : เพื่อพัฒนาความรู้และทักษะ.
   (พิมพ์ครั้งที่ 7). กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์การพิมพ์.
          คณะกรรมการจัดทำต้นฉบับ คู่มือการจัดระบบการเรียนการสอนที่ยึดผู้เรียน
                       เป็นศูนย์กลางการเรียนรู้.  [online]                          
                       (http://info.vru.ac.th/documents/50/1406779749.6.1). ลักษณะของ
                      การจัดการเรียนรู้ – สารสนเทศเพื่อการประกันคุณภาพ.
                       สืบค้นเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2558.
          อรุณกมล อินทร์จันทร์. [online]              
                       (http://innovation.kpru.ac.th/web17/551121707/innovation/
                       index.php/2014-02-04-10-18-22 ). วิธีการสอนแบบอภิปราย - Innovation!.
                       สืบค้นเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2558. 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น